ว่ากันว่า หน้าปัดนั้นคือใบหน้าของนาฬิกา
คุณเคยสังเกตไหมว่า นาฬิกาแต่ละเรือนมีหน้าปัดที่แตกต่างกัน
ในการผลิตนาฬิกาแต่ละเรือนนั้น สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกก็คือส่วนของหน้าปัด เพราะหน้าปัดก็เปรียบเสมือนใบหน้าของนาฬิกา เป็นส่วนแรกที่ทุกคนจะต้องมองเห็น การดีไซน์หน้าปัดจึงส่งผลไปถึงรูปลักษณ์โดยรวมของนาฬิกาด้วยเช่นกัน เหล่าผู้ผลิตจึงมีการออกแบบหน้าปัดนาฬิกาให้มีลักษณะที่หลากหลาย เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์และความสวยงามของนาฬิกาแต่ละเรือน
ถ้าเช่นนั้นแล้ว หน้าปัดนาฬิกามีกี่แบบกันบ้าง?
ใครที่เคยคิดว่าหน้าปัดนาฬิกาเรือนไหน ๆ ก็เหมือนกัน วันนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับ 10 ประเภทหน้าปัดนาฬิกาแบรนด์หรู พร้อมเผยความหมายที่ซ่อนอยู่ในสีของหน้าปัด ที่อาจจะเป็นตัวช่วยให้คุณเลือกนาฬิกาได้เข้ากับสไตล์และบ่งบอกความเป็นตัวตนของคุณมากขึ้น เรามาดูกันเลยว่าแต่ละแบบจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ประเภทหน้าปัดนาฬิกา
หน้าปัดประเภทนี้ถือว่าเป็นหน้าปัดนาฬิกาแบบดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและมีการใช้อย่างแพร่หลายมาตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษ มีลักษณะเป็นเส้นผ่าตรงกลางและแนวขวางบนหน้าปัดคล้ายกับเป้าสำหรับยิงปืน โดยหนึ่งในแบรนด์ที่นิยมใช้หน้าปัดประเภท Crosshair ก็คือแบรนด์ OMEGA
การผลิตหน้าปัดแบบ Enamel คือ การลงสีหรือลวดลายทับด้วยน้ำยาเคลือบใสลงบนวัสดุประเภทแก้ว, ดินเผาหรือเซรามิก หรือที่บ้านเราเรียกว่า “การลงยา” และผ่านความร้อนสูง ทำซ้ำไปมาหลายต่อหลายครั้งจนได้พื้นผิวที่เรียบเนียน เงางาม ดังนั้นหน้าปัดแบบ Enamel จึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมผลิตหน้าปัดนาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุด ต้องอาศัยความปราณีตเป็นอย่างสูงและใช้เวลานานในการผลิต จึงพบได้ไม่บ่อยนักในปัจจุบัน
หน้าปัดแบบ Glit คือการเคลือบพื้นผิวหน้าปัดบาง ๆ ด้วยแผ่นทองหรือใช้สีจากทองคำแท้ทำเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ บนหน้าปัดหรือชื่อแบรนด์ ตัวอย่างของนาฬิกาแบรนด์ที่นิยมใช้หน้าปัดประเภทนี้ก็คือ ROLEX
หน้าปัดประเภทนี้คือการแกะสลักลวดลายลงไปอย่างประณีตบนพื้นผิวของหน้าปัด ที่เห็นได้บ่อยก็คือลวดลายคลื่นที่สวยงามน่าหลงใหล และยังมีการทำเป็นลวดลายต่าง ๆ อีกมากมาย ซึ่งจะต้องใช้เครื่องแกะสลักด้วยมือที่เรียกว่า “Rose Engine” เท่านั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในงานที่มีความละเอียดสูง ปัจจุบันลายกิโยเช่อาจใช้การยิงเลเซอร์แทน ซึ่งทางผู้ผลิตนาฬิกาส่วนใหญ่จะระบุไว้ชัดเจน สำหรับนาฬิกาที่เข้าข่ายงานกิโยเช่ตามแบบดั้งเดิม ใช้ลวดลายชั้นสูง จะประทับ “Swiss Guilloche Main” ตรารับรองระดับมาสเตอร์จากทางประเทศ Swiss ซึ่งพบได้น้อยมาก มีเพียงแบรนด์ “Breguet” และนาฬิกาแบรนด์อื่นไม่กี่เรือนเท่านั้นที่ได้รับตรานี้
สำหรับหน้าปัดประเภทนี้จะมีลวดลายเล็ก ๆ เป็นเส้นแนวตั้งและแนวนอนปรากฏอยู่ทั่วไปบนหน้าปัด คล้ายกับพื้นผิวของผ้าลินินนั่นเอง
หน้าปัดประเภท Marquetry นั้นถือได้ว่าเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว เพราะเป็นหน้าปัดที่ใช้วัสดุหลากหลายในการตกแต่งอย่างพิถีพิถันด้วยฝีมือของผู้ผลิต ไม่ว่าจะเป็นไข่มุกน้ำงาม อัญมณีวาววับหรือวัสดุอื่น ๆ นำมาจัดเรียงเป็นรูปร่างต่าง ๆ ที่สวยงาม สะกดให้ผู้ที่เห็นต้องหลงใหล
ความพิเศษของหน้าปัดประเภทนี้คือการใช้ส่วนหนึ่งของอุกาบาตมาเป็นวัสดุในการผลิตหน้าปัดแต่ละชิ้น ทำให้นาฬิกาแต่ละเรือนมีเอกลักษณ์ในตัวเองและความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หน้าปัดแบบ Skeleton เป็นอีกหนึ่งหน้าปัดที่นิยมมาจนถึงปัจจุบันเช่นเดียวกัน เป็นการใช้วัสดุโปร่งใสเช่นแก้วหรือคริสตัลในการผลิต หรือใช้การฉลุโปร่งระหว่างแผ่นหน้าปัดและแท่นเครื่อง ทำให้สามารถมองเห็นกลไกการทำงานของนาฬิกาจากด้านหน้าผ่านไปด้านหลังอย่างชัดเจน ปัจจุบันหน้าปัด Skeleton ได้ฉลุโปร่งเพียงบางส่วนของหน้า และเห็นเพียงกลไกด้านล่างแต่ไม่มองทะลุผ่านด้านหลังเครื่องไปได้ จะเรียกว่า “Open-work” พบได้บ่อยในแบรนด์ Hublot
หน้าปัดที่มีลวดลายตารางสี่เหลี่ยมขนาดเล็กเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ มีช่องว่างระหว่างกันเพียงเล็กน้อย จัดเป็นรูปแบบหนึ่งของลวดลายกิโยเช่ แต่ด้วยความนิยมเป็นอย่างสูง จึงถูกจัดแยกออกเป็นประเภทของหน้าปัดแทน ใช้เวลาในการผลิตแต่ละชิ้นนานค่อนข้างนาน ซึ่งนาฬิกาที่ใช้หน้าปัดประเภทนี้ก็คือ AUDEMARS PIGUET
หน้าปัดประเภทนี้มีเพียงลวดลายแนวตั้งที่ดูเรียบง่าย แต่กลับให้ความรู้สึกหรูหราและมีพลัง ตัวอย่างของนาฬิกาที่ใช้หน้าปัดแบบ Teaked ก็คือแบรนด์ OMEGA
ความหมายของสีหน้าปัดนาฬิกา
ทุกสีสันบนโลกใบนี้ ล้วนมีความหมายที่ซ่อนอยู่
ไม่ว่าจะเป็นสีเหลืองบนโลโก้ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแบรนด์ดัง ที่แสดงถึงความร่าเริงและเป็นมิตร หรือสีน้ำเงินที่มักจะอยู่บนโลโก้ของธนาคารยักษ์ใหญ่ สื่อถึงความมั่นคงและความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงสีส้มที่มักปรากฏบนโลโก้ของธุรกิจออนไลน์ช็อปปิ้ง ชวนให้รู้สึกถึงความกระตือรือร้นและปลุกเร้าอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
และสำหรับนาฬิกาแบรนด์เนมเองก็เช่นกัน นอกจากประเภทของหน้าปัดนาฬิกาที่แตกต่างกันแล้ว สิ่งหนึ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของนาฬิกาแต่ละเรือนได้เป็นอย่างดีก็คือสีของหน้าปัด อย่างที่เรารู้กันดีว่าการผลิตนาฬิกา Hi-End แต่ละเรือนนั้นจะต้องอาศัยความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน และนาฬิกาทุกรุ่นที่ออกมาล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวที่น่าสนใจ การเลือกใช้สีบนหน้าปัดจึงเป็นส่วนหนึ่งของการบอกเล่าความหมายและความตั้งใจในการผลิตนาฬิกาเรือนนั้นออกมาให้กับเหล่าผู้สวมใส่
ดังนั้นหากคุณรู้ถึงความลับและพลังที่ซ่อนอยู่ในแต่ละสีของหน้าปัด อาจช่วยให้คุณเลือกสวมใส่นาฬิกาเรือนหรูที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณได้มากขึ้น
แสดงถึงความสุขุมและพลังอำนาจ เราจะเห็นกันอยู่บ่อยครั้งว่า Rolex มักจะดีไซน์นาฬิกาเป็นหน้าปัดสีดำคู่กับสายสีเงิน ให้ความรู้สึกหรูหราและทรงพลังในคราวเดียวกัน
แสดงถึงความน่าเชื่อถือ ความมั่นใจและความเฉลียวฉลาด หน้าปัดสีนี้ดูดีทั้งบนสายสเตนเลส สายสีน้ำตาล และสายสีดำ
- หน้าปัดสีขาว
แสดงถึงความบริสุทธิ์ เป็นสีที่สวมใส่ง่าย เข้ากับทุกสไตล์การแต่งตัว
แสดงถึงความอ่อนหวานที่ชวนให้หลงใหล อย่างที่เรามักจะเห็นกันอยู่เสมอบนนาฬิกาสำหรับสุภาพสตรี
แสดงถึงความกระตือรือร้น น่าค้นหา บ่งบอกถึงรสนิยมที่ไม่เหมือนใครและสไตล์ที่โดดเด่นของคุณได้เป็นอย่างดี
หากคุณกำลังมองหานาฬิกาหรูเรือนที่ใช่ ที่จะมาเป็นนาฬิกาคู่ใจในทุกไลฟ์สไตล์ของคุณ ที่ PIXIU WATCH เรามีนาฬิกาแบรนด์เนมแท้มือสองมากมายในสภาพสวยสมบูรณ์ไร้ที่ติให้คุณได้เลือกซื้อ จำหน่ายในราคายุติธรรม ด้วยความตั้งใจที่จะส่งต่อความสวยงามและคุณค่าของนาฬิกาที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานให้แก่ผู้รักนาฬิกาทุกท่าน ไม่ว่าคุณจะมองหานาฬิกา Hi-End แบรนด์ใด โปรดวางใจ PIXIU WATCH เราพร้อมให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอนของการสั่งซื้อ สามารถติดต่อเราได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 083-713-9292 (โอ๊ต) และ 081-535-3595 (ตี๋) ทุกวัน เวลา 7.00 - 24.00 น.